เดินย้อนเวลาไปในยุคเอโดะกันที่เส้นทางสาย Nakasendō
เดินย้อนเวลาไปในยุคเอโดะกันที่เส้นทางสาย Nakasendō
ถ้าหากว่าคุรเป็นคนที่ชื่นชอบในเรื่องราวของประวัติศาสตร์ วัฒนธรรม และธรรมชาติที่สวยงามของชนบทกันแล้วล่ะก็ เราจะพาคุณมาเดินเที่ยวไปตามเส้นทางสายอารยธรรมกันที่ Nakasendō กันนะคะเพราะว่าที่นี่เป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่นักเดินทางชาวไทยน้อยคนนักที่จะเคยมาเพราะถ้าจะพูดกันจริงๆแล้วเส้นทางก็ต้องใช้เวลาเที่ยวเป็นวันเลยถึงจะสามารถเที่ยวได้ครบจริงๆแต่รับรองได้เลยว่าที่นี่จะเป็นอีกหนึ่งสถานที่ท่องเที่ยวที่คุณจะได้ด่ำดื่มไปกับความเป็นดั้งเดิมของญี่ปุ่นได้แบบเต็มอิ่มจุใจกันจริงๆ
เส้นทางสาย Nakasendō หรือ เส้นทางผ่าหุบเขานั้นเป็นเส้นทางที่สร้างขึ้นมาตั้งแต่ยุคเดโอะ ซึ่งเส้นทางสายนี้เป็นเส้นที่เชื่อมต่อกันระหว่ากรุงเกียวโต และกรุงโตเกียว เมืองหลวงเก่าและเมืองหลวงในปัจจุบัน โดยเส้นทางทานจะมีระยะทางรวมกันถึง 330 ไมล์เลยทีเดียวโดยในปัจจุบันก็มีการพัฒนาและปรับปรุงพื้นที่ต่างๆโดยตัดผ่านเส้นทางสายนี้แต่ก็ยังมีเส้นทางที่เราสามารถเดินกันได้อยู่
สำหรับเส้นทางที่เราจะพาคุณมาเดินกันในวันนี้นั่นก็คือบริเวณหมู่บ้าน Kiso ซึ่งเป็นเส้นทางที่เชื่อมระหว่างเมือง Tsumago และ เมือง Magome เข้าไว้ด้วยกัน โดยเส้นทางนี้จะมีระยะทางอยู่ที่ประมาณ 8 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินประมาณ 2-3 ชั่วโมง และทางเดินจะปูด้วยหินตั้งแต่สมัยเอโะและมีเส้นทางปูนที่สร้างใหม่บ้างในส่วนที่ตัดผ่านหมู่บ้าน เป็นทางราบเรียบเดินง่าย ไม่ค่อยมีทางลาดชันมากนักทำให้เดินได้สบายไม่เหนื่อย
อย่างที่เราเกริ่นไปข้างต้นแล้วนั่นก็คือเส้นทางสาย Nakasendō แห่งนี้เป็นเส้นทางที่เกิดขึ้นมาตั้งแต่สมัยเอโดะทำให้ในเรื่องของอาคารบ้านเรือนต่างๆนั้นก็ยังเป็นอาคารเก่าที่ยังคงอนุรักษ์เอาไว้ให้อยู่ในรูปแบบเดมให้ได้มากที่สุด และยังมีประชาชนอาศัยอยู่ปกติอีกด้วย นับว่าคุณจะได้มาชมสถาปัตยกรรมในยุคเก่าที่ยังได้รับการดูแลรักษาเอาไว้เป็นอย่างดีและสามารถปรับเปลี่ยนการใช้ชีวิตให้เข้ากับยุคปัจจุบันได้อย่างไม่น่าเชื่อเลยทีเดียว โดยที่หมู่บ้าน Kiso ก็จะมีร้านค้า ร้านอาหารต่างๆเปิดอยู่ตลอดเส้นทางให้คุณสามารถแวะพักผ่อนจิบน้ำชา ทานอาหารกันได้ด้วยนะคะ
เมื่อผ่านโซนหมู่บ้านไปก็จะเป็นโซนที่นำพาคุณเดินเข้าไปที่เส้นทางกลางป่าซึ่งก็มีความร่มรื่นสวยงามไม่แพ้กัน และต้นไม้บางต้นของที่นี่ก็ยังมีอายุยาวนานหลายร้อยปีเลยทีเดียวนะคะ สำหรับมนต์เสน่ห์ของเส้นทางสายนี้นั้นก็คงจะเป็นเรื่องของความเงียบสงบ ความสวยงาม และความเรียบง่ายของชาวบ้านที่นี่ที่เรายังได้เห็นวิถีชีวิตแบบชนบทในประเทศญี่ปุ่นที่แต่ละคนนั้นมีใบหน้าเปื้อนยิ้มและมีความสุขกันอย่างบอกไ่ถูก