วัดเซนโซจิหรือวัดอาซากุสะ
วัดเซนโซจิหรือวัดอาซากุสะ
วัดที่นักท่องเที่ยวรู้จักกันในชื่อของวัดโคมแดงเอกลักษณ์เด่นของวัดแห่งนี้คือซุ้มทางเข้าก่อนเข้าถึงตัววัดมีโคมไฟโบราณสีแดงขนาดใหญ่ที่แขวนอย่างโดดเด่น ตั้งตรงกลางเด่นสง่าสวยงามระหว่างรูปปั้นยักษ์ใหญ่สองตน ซ้าย ขวา ซึ่งถือว่าเป็นเอกลักษณ์ที่สำคัญของวัดแห่งนี้
ตำนานของวัดนี้เกิดจากชาวประมงที่น้องคู่หนึ่งเดินทางออกไปหาปลา ได้ตกเทวรูปเจ้าแม่กวนอิมขึ้นมาจึงได้นำเทวรูปของเจ้าแม่กวนอิมมาประดิษฐานที่วัดอาซากุสะ
เหตุผลสำคัญที่ทั้งสองตัดสินใจต้องนำองค์เจ้าแม่กวนอิม แต่ไม่ใช่แค่นั้น ยังมีเหตุผลที่สำคัญกว่านั้น ที่ทำให้สองพี่น้องได้นำเจ้าแม่กวนอิมมาประดิษฐานที่วัดแห่งนี้ เพราะว่ากันว่านั่นเพราะสองพี่น้องได้พบความน่าแปลกประหลาดใจ เมื่อทั้งสองได้พยายามทิ้งรูปปั้นนั้นลงแม่น้ำหลายครั้งก็ต้องพบกับรูปปั้นองค์เดิมติดขึ้นมาจากการหาปลาทุกครั้ง จึงเป็นที่กล่าวขานถึงความศักดิ์สิทธิ์ของเรื่องเล่าทีวัดแห่งนี้และได้รับการเคารพนับถือเป็นอย่างมากในด้านความศักดิ์สิทธิ์ที่น่าอัศจรรย์ (ฟังตำนานแล้วขนลุกเลยเนาะ) วัดแห่งนี้เคยถูกทำลายในสงครามโลกครั้งสอง แต่เมื่อสิ้นสุดสงคราม ก็ได้รับการบูรณะขึ้นมาใหม่ เพื่อยึดเหนี่ยวจิตใจชาวญี่ปุ่น เนื่องเป็นสัญลักษณ์แห่งการเริ่มต้นใหม่ เหมือนดั่งที่ได้พบกับเทวรูปเจ้าแม่กวนอิมที่อยู่ในน้ำแล้วได้กลับขึ้นมาใหม่อีกครั้ง
เมื่อผ่านซุ้มประตูเข้ามาจะพบกับถนนนากามิสะ ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้ง ทั้งของกิน ของฝาก ของที่ระลึก ต่าง ๆ ให้ได้เดินชมเดินซื้อหากันเพลิดเพลินตาเพลิดเพลินใจแต่สำหรับเรื่องของอาหารนั้นไม่สามารถนำเข้าไปกินภายในวัดได้จึงต้องเดินเล่นกินภายนอกก่อนเข้าวัดหรือทำการบรรจุหีบห่ออย่างดีเมื่อเข้าสู่ตัววัด ดังนั้นขอแนะนำว่า ควรเดินชมสินค้าไปพลาง ๆ ก่อนเข้าวัด แล้วเมื่อทำการสักการะสิ่งศักดิ์สิทธิ์ภายในวัดเสร็จแล้ว จึงค่อยออกมาช็อปปิ้งดีกว่า
นอกจากถนนนากามิสะแล้ว ยังมี ชิน นากามิสะ ซึ่งเป็นแหล่งช็อปปิ้งเน้นสินค้าทันสมัยแนวแฟชั่นอีกด้วย ซึ่งถนนเส้นนี้ จะเป็นถนนที่ตัดมาจากถนนนากามิสะ อีกเส้นหนึ่ง
เมื่อเดินบนถนนนากามิซะมาจนสุดทาง จากนั้นก็จะพบกับทางเข้าวัดซึ่งเป็นซุ้มประตูอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งก็จะมีโคมไฟโบราณสีแดง ตั้งกึ่งกลาง ระหว่างโคมไฟสีทอง ด้านซ้าย และ ด้านขวา ซึ่งสามารถเดินเข้าไปทำการกราบไหว้สักการะขอพรภายในวัดได้ตามอัธยาศัย